Épisodes

  • สติปัฏฐาน 4 [6837-3d]
    Sep 9 2025
    ความระลึกรู้ ความตระหนักรู้ นั้นคือ สติ อันเป็นประธานในการกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง การเจริญสติให้มั่นคงเป็นหนทางสายเอกอันเป็นไปเพื่อการดับทุกข์ เพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำบุคคลผู้เจริญให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ “สติปัฏฐาน 4”

    Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    Voir plus Voir moins
    57 min
  • อาวาสิกธรรม [6836-3d]
    Sep 2 2025
    อาวาสิโก คือผู้อยู่ประจำอาวาส ภิกษุผู้อยู่ประจำอาวาส และอีกหนึ่งนัยยะ อาวาสิโก ยังหมายถึงเจ้าอาวาส ซึ่งในภาษาไทยได้นำมาใช้ในบริบทที่ว่าคือผู้นำผู้ปกครองของวัดนั้น อาวาสิกธรรม คือธรรมของผู้ที่อยู่ประจำถิ่น เป็นหลักธรรมของภิกษุผู้อยู่ประจำอาวาส การอยู่ประจำอาวาสอย่างไรที่จะทำให้ดีให้งาม ให้มีการเกิดประโยชน์เกิดบุญที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ไปดีได้ในภพต่อๆไป ในตอนนี้ได้รวบรวมเนื้อหามาสรุปให้เป็นกลุ่ม โดยแบ่งตามคุณธรรมของผู้อยู่ประจำถิ่น ดังนี้กลุ่มที่1 เป็นผู้มี ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติดังนี้1)ถึงพร้อมด้วยมารยาทและวัตร 2)เป็นพหูสูต ทรงความรู้ 3)เป็นผู้ยินดีในการขัดเกลากิเลส ยินดีในความสงบ ยินดีในการที่จะไม่คลุกคลี 4)มีปัญญา เฉลียวฉลาดเห็นความเกิดขึ้นและดับไปอย่างแยบคายในการปฏิบัติ 5)แคล่วคล่องในการเข้า-ออกฌานทั้ง46)สามารถใช้ปัญญาและสมาธิที่มีนั้นในการที่จะบรรลุธรรมกลุ่มที่2 เป็นผู้มีสัมมาวาจา ดังนี้1)มีกัลยาณวาจาคือวาจางาม รู้จักพูด รู้จักเจรจาให้เป็นผลดี 2)สามารถกล่าวธรรมะให้ผู้มาหาเห็นแจ่มชัด ยอมรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้แกล้วกล้า และเบิกบานใจกลุ่มที่3 เป็นผู้ทำการงานดี ดังนี้1)รู้จักปฏิสังขรณ์เสนาสนะสิ่งของที่ชำรุดหักพัง ตามเหตุตามปัจจัยกลุ่มที่4 เป็นผู้จักปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลรอบข้าง ดังนี้1)ชักนำคฤหัสถ์ให้ถือปฏิบัติในอธิศีล 2)ยังคฤหัสถ์ให้ตั้งอยู่ในธรรมทัศนะ คือรู้เห็นเข้าใจธรรม3)ไปเยี่ยมให้สติคนเจ็บไข้4)เมื่อมีสงฆ์หมู่ใหญ่มาจากต่างถิ่น ขวนขวายบอกชาวบ้านผู้ปวารณาไว้ให้มาทำบุญ5)เมื่อรับทานใดๆมาแล้ว จะเลวหรือดี ก็ใช้ด้วยตนเอง ไม่ยังศรัทธาให้ตกไปกลุ่มที่5 เป็นผู้รู้จักยกย่องหรือติเตียน ดังนี้1)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงกล่าวตำหนิติเตียนบุคคลที่ควรตำหนิติเตียน2)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงกล่าวยกย่องสรรเสริญบุคคลที่ควรยกย่องสรรเสริญ3)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงแสดงความไม่เลื่อมใส ในฐานะอันไม่ควรเลื่อมใส4)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงแสดงความเลื่อมใส ...
    Voir plus Voir moins
    53 min
  • สาราณียธรรม [6835-3d]
    Aug 26 2025

    บทสวด สาราณียะธัมมะสูตตัง เป็นบทที่กล่าวถึงธรรมอันเป็นไปเพื่อความระลึกถึงกันและกัน คือธรรมแห่งการสร้างความสามัคคี เป็นบทสวดที่มาจากพระสูตรที่พระภิกษุจะมักสวดกันในวันเข้าพรรษา บทสวดนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุไว้ที่เมืองสาวัตถี ณ วัดเชตวัน โดยกล่าวถึงธรรม 6 ประการ ที่เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วจะเป็นธรรมเครื่องก่อให้เกิดอานิสงส์ 7 ประการ คือ

    1.สาราณียา (ระลึกถึงกัน)

    2.ปิยะกะระณา (เป็นเครื่องกระทำให้เป็นที่รักกัน)

    3.คะรุกะระณา (เป็นที่เคารพซึ่งกันและกัน)

    4.สังคะหายะ (เป็นไปเพื่อ ความสงเคราะห์ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล)

    5.อะวิวาทายะ (ไม่วิวาทกัน)

    6.สามัคคิยา (เกิดความพร้อมเพรียงกัน)

    7.เอกีภาวายะ(ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)

    โดยองค์ประกอบของสาราณียธรรม 6 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงคือ

    1.เมตตาทางกายทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    2.เมตตาทางวาจาทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    3.เมตตาทางใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    4.การแบ่งปันลาภที่ได้มาโดยธรรม

    5.มีศีลเสมอกัน ศีลไม่ทะลุไม่ด่างพร้อย

    6.มีทิฏฐิอันประเสริฐ คือรู้เจาะจงในอริยสัจ 4

    Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    Voir plus Voir moins
    57 min
  • ธรรมที่สงฆ์ควรพิจารณาเนือง ๆ [6834-3d]
    Aug 19 2025

    พระพุทธเจ้าได้ทรงให้เกณฑ์ในการปฏิบัติให้การประพฤติพรหมจรรย์นั้นบริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างสิ้นเชิง ไว้เป็นขั้นเป็นลำดับอย่างชัดเจน ในที่นี้จะนำเสนอในหัวข้อของ อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร คือ ธรรมที่บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ 10 ประการได้แก่

    1. พิจารณาถึงเพศที่แตกต่างจากคฤหัสถ์

    2. พิจารณาถึงการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ด้วยผู้อื่น

    3. พิจารณาถึงอากัปกิริยาทางกายทางวาจา

    4. พิจารณาถึงการติเตียนตนเองด้วยเรื่องของศีล

    5. พิจารณาถึงการติเตียนเรื่องของศีล ด้วยผู้อื่น

    6. พิจารณาถึงการพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น

    7. พิจารณาเรื่องของ กรรม

    8. พิจารณาถึงเวลาที่ล่วงไป

    9. พิจารณาถึงการยินดีด้วยเสนาสนะอันสงัด

    10. พิจารณาถึงคุณวิเศษ

    การพิจารณาธรรมเหล่านี้เนืองๆอย่างเป็นประจำจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต นำไปสู่การปล่อยวาง การดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และจะทำให้เป็นหนทางเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลได้

    Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    Voir plus Voir moins
    55 min
  • “ขันติ” ความอดทนคือทุกสิ่ง [6833-3d]
    Aug 12 2025

    ปฏิปทาอันยิ่งยวดอย่างหนึ่งใน “ทศบารมี” นั้นก็คือ “ขันติ” คือ ความอดทนอดกลั้น เป็นตบะแผดเผากิเลสอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม จะสามารถรักษาความเป็นปกติเอาไว้ได้ ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 ย่อมทำคุณธรรม “ขันติ” ให้ปรากฏขึ้นเป็นของแจ่มแจ้งแก่ตนเองได้ด้วย “ปัญญา” และถ้าพิจารณากันให้ดี ๆ จะเห็นว่า คุณธรรมที่ทำให้มีความอดทนนั้น มีอยู่มากมาย จึงอาจกล่าวได้ว่า “ขันติ” ความอดทนคือทุกสิ่ง


    ความอดทนแบ่งตามเหตุที่มากระทบ ได้แก่ อดทนต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อทุกขเวทนาทางกายและทางใจ อดทนต่อกิเลส เปรียบความอดทนไว้กับทางไปสู่นิพพาน ถ้าคุณเจอสิ่งกระทบในระหว่างทาง คุณยังจะอดทนรักษามรรคไว้ได้อยู่ไหม? หรือจะเลือกเดินออกนอกมรรคไปไม่ถึงนิพพาน


    ขันติแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

    1. อธิวาสนขันติ คือ ยังมีอารมณ์โกรธอยู่ แต่อดกลั้นไว้ได้ ไม่แสดงสิ่งที่เป็นอกุศลทางกาย วาจา ใจ ออกไป

    2. ตีติกขาขันติ คือ ปฏิบัติได้เป็นปกติใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพราะผ่านการฝึกฝน ทำซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ ในขั้น “อธิวาสนขันติ”


    คุณธรรมความอดทน ตัวอย่างในเรื่องของท่านพระปุณณะ พระสารีบุตร และท้าวสักกะ เป็นคุณธรรมที่แสดงให้เห็นการบ่มอินทรีย์ พละ ศีล สมาธิ ปัญญา พรหมวิหาร

    อานิสงส์ของความอดทน คือ ย่อมเป็นที่รักของคนเป็นอันมาก เป็นผู้ไม่มากด้วยเวรไม่มากด้วยโทษ เป็นผู้ไม่หลงกระทำกาละ ตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

    Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    Voir plus Voir moins
    56 min
  • นักรบในธัมม์ [6832-3d]
    Aug 5 2025
    พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกสอนธรรมะไว้อย่างมากมาย การนำคำสอนไปปฏิบัติกับการศึกษาคำสอนนั้น เป็นคนละอย่างกัน พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกสอนไว้อย่างรัดกุมหลายนัยยะ โดยการเปรียบเทียบอุปมาอุปไมยไว้หลายข้อธรรมดังนี้1) อุปมาอุปไมยเรื่องทะเล พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบไว้ถึง 8 ประการ ในที่นี้จะกล่าวถึงประการที่ว่า มหาสมุทรไม่อยู่รวมกับซากศพ เพราะคลื่นจะซัดเอาซากศพเข้าฝั่งเสมอ เปรียบเทียบกับการผู้ที่ทุศีล ปรารถนาลามก สุดท้ายจะถูกเปิดเผยทำให้อยู่ร่วมกับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ได้2) อุปมาอุปไมยภิกษุกับนักรบอาชีพ 5 จำพวกคือ: นักรบที่หวั่นไหวเพียงเห็น ฝุ่นฟุ้งก็ถอยเปรียบกับ ผู้เริ่มปฏิบัติที่ใจยังอ่อน เจอเรื่องเล็กน้อย เช่น ง่วง เบื่อ หิว ก็ท้อนักรบที่ทนฝุ่นได้ แต่แพ้เมื่อเห็นยอดธงข้าศึกก็กลัวเปรียบกับ ผู้ฝึกปฏิบัติระดับหนึ่ง แต่ยังแพ้ต่ออารมณ์ เช่นโกรธ หลงนักรบที่ทนฝุ่น ทนธงได้ แต่หวั่นเมื่อได้ยินเสียงข้าศึก มีผัสสะกระทบแรง ๆ เช่น คำด่า ลาภ เสียงนินทาเปรียบกับ ผู้ที่ยังหวั่นไหวต่อกระแสโลก ไม่สามารถวางเฉยได้จริงนักรบที่ทนทุกอย่างได้ แต่ยังกลัวการปะทะสุดท้าย เปรียบกับ ผู้ใกล้หลุดพ้น แต่ยังติดดี ติดสงบ หวงอัตตานักรบที่กล้าเผชิญทุกอย่าง ชนะได้ทุกด่านเปรียบกับ พระอรหันต์ ผู้สิ้นสงครามใจ ชนะกิเลส ละนิวรณ์ ข้ามพ้นวิจิกิจฉาเห็นอริยสัจสี่ บรรลุ วิมุตติ (ความหลุดพ้น)เปรียบเทียบภิกษุในธรรมวินัยนี้ต้องต่อสู้กับภัย 4 อย่างของผู้ออกบวชคือ 1) ภัยเพราะปลาร้ายคือผู้หญิง 2) ภัยเพราะจระเข้ คือเรื่องปากท้อง 3) ภัยเพราะคลื่น คือความเกิดความคับแค้น 4) ภัยเพราะน้ำวนคือข้องอยู่กับเรื่องกาม เช่น การที่ต้องดูแลครอบครัวสมบัติ หากหลีกพ้นจากภัยเหล่านี้ได้ก็จะยังเป็นภิกษุที่ยังครองตนอยู่ในธรรมวินัยของพุทธศาสนานี้ได้3) อุปมาอุปไมย เรื่องหนูหนูที่ขุดรูแต่ไม่อยู่ เปรียบเหมือนผู้ที่ศึกษาธรรมะ แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันหนูที่อยู่แต่ไม่ขุดรู เปรียบเหมือนผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมะ แต่ไม่ได้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจอย่างถ่องแท้หนูที่ไม่ขุดรูและไม่อยู่ ...
    Voir plus Voir moins
    58 min
  • วิธีพิจารณาหลักธรรมคำสอนเพื่อสุขในปัจจุบัน [6831-3d]
    Jul 29 2025
    พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมไว้อย่างมากมายแสดงไว้อย่างดี รัดกุม รอบคอบ ไม่หละหลวม ในที่นี้จะนำธรรมมะที่กล่าวถึงวิธีคิดวิธีไตร่ตรองพิจารณาในแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อนำทางแห่งความสุขในปัจจุบัน โดยจะนำธรรมะหลายหัวข้อมากล่าวดังนี้ประการแรก เป็นธรรมง่ายๆย่อๆที่พระพุทธเจ้าบอกแก่นางโคตรมี กล่าวไว้ใน “โคตรมีสูตร” เป็นข้อธรรมที่นางโคตรมีจะนำไปปฏิบัติเมื่ออยู่คนเดียว หลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้คือ 1.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด 2.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อละเครื่องร้อยรัดความยึดถือ 3.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความไม่สั่งสมกิเลส 4.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความมักน้อย 5.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความสันโดษ 6.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความสงัด 7.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความเพียร 8.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องมีทั้ง 8 ประการนี้เป็นเกณฑ์ แต่ต้องไม่ยึดถือในหลักเกณฑ์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ชาวกาลามโคตร ใน “เกสปุตตสูตร” ไว้ว่าอย่าได้ยึดถือโดยได้ยินได้ฟังมา, โดยอ้างตำรา, โดยคาดคะเน, โดยความตรึกตามอาการ แต่หลักการที่ถูกต้องให้ดูว่า กุศลเพิ่ม อกุศลลด หรือไม่ประการที่สอง กล่าวถึงการพิจารณาถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ควร-ไม่ทำ โดยจะนำ “เตวิชชสูตร” มากล่าวโดยกล่าวถึงข้อปฏิบัติของพราหมณ์ที่จะให้ได้ไปอยู่กับพรหม ให้พิจารณาว่าพิธีกรรมที่ทำนั้นเป็นไปอย่างไร เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวร้อยรัดหรือไม่ จองเวรหรือไม่ เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ เศร้าหมองหรือไม่ ฟุ้งซ่านหรือไม่ หากพิธีกรรมต่างๆเป็นไปเพื่อสิ่งเหล่านี้ก็ต้องเว้นการปฏิบัติเสียประการที่สาม ข้อปฏิบัติอันใดที่เราควร-ไม่ควรกระทำ สูตรที่จะนำมากล่าวคือ “อนุมานสูตร” กล่าวถึงอุปกิเลส 16 ประการ ที่มาประกอบในการพิจารณาที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ พิจารณาถึงคนอื่น ว่าหากเราทำสิ่งไม่ดีกับบุคคลอื่น เขาคงจะไม่ชอบ แล้วมองกลับกันว่าหากเขาทำสิ่งนี้กับเรา เราก็คงจะไม่พอใจ ดังนั้นเราก็ต้องพิจารณาว่าเราไม่ควรทำอย่างนั้นกับคนอื่น ...
    Voir plus Voir moins
    59 min
  • รุ่งอรุณแห่งอริยมรรคมีองค์แปด [6830-3d]
    Jul 22 2025
    เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นจะมีแสงสีเงิน แสงสีทอง มาให้เห็นก่อน เรียกว่ารุ่งอรุณ อุปไมยองค์ประกอบ 8 อย่างอันประเสริฐ (มรรค 8) จะเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใด สิ่งที่มาก่อนเป็นนิมิตให้เห็นในผู้นั้น คือ1. เป็นผู้มีกัลยาณมิตร (กัลลยาณมิตตตา) นัยยะที่หนี่งคือเพื่อนผู้ที่จะนำความดีมาให้เป็นผู้ที่มีศีล มีศรัทธา มีจาคะและมีปัญญา นัยยะที่สองกัลยาณมิตรอาจจะเป็นครูอาจารย์ พระสงฆ์หรือผู้มีคุณงามความดีเป็นแบบอย่างที่ดี นัยยะที่สามเราอาจจะเอามรรคแปดเป็นกัลยาณมิตรก็ได้ยิ่งจะส่งเสริมให้เราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องไม่ออกนอกเส้นทาง ในที่นี้จะกล่าวถึงคุณสมบัติของกัลยาณมิตร 7 ประการได้แก่เป็นผู้มีความน่ารักใคร่พอใจ (ปิโย) คือเป็นลักษณะมีความเมตตาเป็นที่น่าเคารพ (ครุ) คือเป็นผู้ที่มีความหนักแน่น มีหลักเกณฑ์หลักการ คุ้มครองให้ในทิศทั้งปวงเป็นผู้น่ายกย่อง (ภาวนีโย) คือ เป็นผู้รู้จักจุดอ่อนของตนเองมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอควรเอาเป็นแบบอย่างเป็นผู้ฉลาดพูด (วตฺตา) คือรู้จังหวะรู้เวลาที่จะพูดที่จะสอนได้ และเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีได้เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ (วจนกฺขโม) คืออดทนที่จะพูดซ้ำๆในเรื่องเดิมๆได้โดยไม่เบื่อหน่ายเป็นผู้สามารถแจกแจงคำสอนได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง (คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา)เป็นผู้ไม่ชักนำไปในเรื่องที่เสื่อมเสีย (จฎฺฐาเน นิโยชเย)2. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยศีล (สีลสัมปทา) คือเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ ทำให้ศีลที่มีดีขึ้นเรื่อยๆ ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ3. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยฉันทะ (ฉันทสัมปทา) คือเป็นผู้มีความพอใจมีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้4. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยตน (อัตตสัมปทา) คือจิตของเราต้องมีการพัฒนาให้มีการถึงพร้อม5. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐิสัมปทา) คือมีทัศนคติมีความเชื่อที่ถึงพร้อม6. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท (อัปปมาทสัมปทา) คือเป็นผู้ไม่ขาดสติ มีสติกำกับจิตใจในการดำเนินชีวิต7. เป็นผู้ที่รู้จักทำในใจอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) คือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด ...
    Voir plus Voir moins
    56 min